“สำนัก 7” สสส. มุ่งสร้างนำซ่อม “ปรับพฤติกรรมชีวิต”

หมวดหมู่ : ทั่วไป, กรุงเทพฯ,

อ่าน : 686
“สำนัก 7” สสส. มุ่งสร้างนำซ่อม “ปรับพฤติกรรมชีวิต”

               สำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ หรือ สำนัก 7 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บทบาทสำคัญอยู่ที่การหนุนเสริมให้ระบบบริการสุขภาพทำงานสร้างเสริมสุขภาพ “สร้างนำซ่อม” มากขึ้น  มุ่งเน้นปรับพฤติกรรมของคน ลดปัญหาสุขภาพ  ซึ่งก้าวต่อไปในระยะสั้นจะรุกเข้าไปทำงานกับคน “กลุ่มก่อนป่วย”  และภาพฝันระยะยาวที่อยากเห็น “ชุมชนเข้มแข็งด้านสุขภาพ” เป็นเจ้าของข้อมูล สามารถจัดการสุขภาพตามบริบทของพื้นที่ได้เอง

    รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 7 ให้ข้อมูลว่า การขับเคลื่อนเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะของ สสส. มีหลักการว่าเรื่องการรักษาพยาบาลหรือการดูแลสุขภาพ ประชาชนจะนึกถึงเรื่องการเข้ารพ.และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นปลายเหตุ หรือให้รู้จักการป้องกัน  มีการตรวจโรค ตรวจร่างกายประจำปี ถือเป็นขั้นกลาง  แต่สิ่งที่สสส.ดำเนินการเป็นขั้นแรก คือ การสร้างเสริมสุขภาพ เช่น ดูแลตัวเองให้ดีอย่างไร แล้วจึงค่อยไปสู่ขั้นตรวจสุขภาพหรือเจ็บป่วยรักษา เรียกว่า “สร้างนำซ่อม”

    สำหรับ ยุทธศาสตร์หลังจากนี้ของสสส. รศ.นพ.สรนิต ให้ข้อมูลว่า มีจุดเน้นอยู่ 8 เรื่องที่เป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.ลดอัตราการบริโภคยาสูบ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า 2.ลดอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด 3.เพิ่มสัดส่วนการบริหารบริโภคอาหารอย่างสมดุล 4.เพิ่มสัดส่วนการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอ 5.ลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทางถนน 6.เพิ่มสัดส่วนผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ 7.ลดผลกระทบสุขภาพจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และ8.เตรียมพร้อมรับปัญหาสุขภาพอุบัติใหม่และปัจจัยเสี่ยงอื่น 

    ทั้งนี้  “สำนัก 7” มีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนเรื่อง “สร้างนำซ่อม” รศ.นพ.สรนิต กล่าวถึงความคาดหวังของสำนัก 7ว่า/ ภาพรวมใหญ่ ทำงานเชิงระบบเป็นหลัก โดยใช้หลักกฎบัตรออตตาว่า (ottawa charter) มาขับเคลื่อนระบบ คาดหวังว่าชุมชนทุกจุดของประเทศไทย สามารถเข้าใจ มีmind set เรื่องสร้างเสริมสุขภาพ  ในโรงเรียนหรือคนรุ่นใหม่จะเข้าใจการสร้างเสริมสุขภาพด้วย ไม่ใช่รู้แค่เจ็บป่วยไปรักษา หรือเจาะเลือดทุกปี  ซึ่งน่าจะทำเกินและดีกว่านี้ได้

    “สสส.เป็นองค์กรที่มีภาคีเครือข่ายมาก เพราะฉะนั้นการทำงานต้องร่วมเป็นกลุ่ม เป็นพลังของชุมชนที่แท้จริง ใช้หลักออทตาว่าที่ไม่ทำคนเดียว ใช้ภาคี ผลักดันให้ทุกคนมีส่วนร่วม” รศ.นพ.สรนิต กล่าว

    นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ (สำนัก 7)  เพิ่มเติมว่า สำนัก 7 บทบาทสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ  หมายความว่า สำนักมีบทบาท ในการที่จะไปดึงศักยภาพของระบบบริการสุขภาพ ซึ่งมีทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่เป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ นักวิชาการสาธารณสุขต่างๆ มีข้อมูลและความรู้ สามารถที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ รับทราบ และมุ่งเป้าสู่การสร้างเสริมสุขภาพมากกว่าการรักษาอย่างเดียว

    “ทิศทางของประเทศ ต้องเป็นไปในทางรักษาต่างๆ จนในที่สุด เหมือนถูกต้อนจนมุม คือ ใช้เงินจำนวนเยอะมาก  ถ้าไม่รุกกลับโดยการที่พลิกให้เป็นเชิงรุก ประเทศก็จะไม่ไหว เพราะฉะนั้น บุคลากรทางสุขภาพก็จะเป็นจุดสำคัญ ในการที่จะเชิญชวนให้ประชาชนมาสร้างสุขภาพ” นพ.พงศ์เทพ กล่าว 

    สำหรับการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขแนวใหม่ตาม “กฎบัตรออตตาว่า” นพ.พงศ์เทพ อธิบายว่า องค์การอนามัยโลก มาหรือกันว่าถ้าจะรุกกลับโรคต่างๆ จะใช้ 5 กลยุทธ์ ได้แก่

    1.การสร้างนโยบายสาธารณะ ต้องการตั้งแต่ที่ชุมชน เช่น กติกาหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและระดับประเทศ ที่จะมีนโยบายสาธารณะที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน

    2.การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น คนจะสูบบุหรี่ที่สาธารณะแล้วพ่นควันใส่คนอื่นไม่ได้ 

    3.กิจกรรมชุมชน ต้องรวมกลุ่มกันแก้ปัญหาต่างๆ จะแก้ด้วยเจ้าหน้าที่ไม่ได้

    4.การปรับทักษะส่วนบุคคลให้เอื้อต่อการสร้างสุขภาพ เช่น ทุกคนต้องรู้ว่ากินเค็มไม่ดีอย่างไร หรือกินแล้วอ้วนจะลดน้ำหนักต้องทำอย่างไร และ

    5.ปรับทิศทางจากที่เคยรักษาพยาบาลเป็นหลัก เปลี่ยนมาสู่การสร้างเสริมสุขภาพมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องเป็นคนนำเข้ามา ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของสำนัก 7

    สิ่งที่ สำนัก 7 พยายามทำคือทำงานกับบุคคลเบื้องหน้า เบื้องหลังและผู้รับผลลัพธ์ คือประชาชน จะมุ่งเน้นที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่มีข้อมูลและบุคลากรต่างๆ กลุ่มหมอครอบครัว และให้เจ้าหน้าที่ใช้ข้อมูล ชักชวนให้ชุมชนเห็นว่าอะไรคือปัญหาด้านสุขภาพของชุมชน และเมื่อเห็นแล้วต้องดึงภาคส่วนต่างๆ ทั้งในชุมชนมาร่วมมือ ดังนั้น ต้องทำงานกับทุกส่วนที่เป็นกำลังสำคัญของชุมชน โดย สสส.เข้าไปหนุนเสริมให้เจ้าหน้าที่ไปทำงาน

    ยกตัวอย่าง โครงการคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ(พชอ.) ที่อำเภอมีแพทย์ รพ.สำนักงานสาธารณสุขอำเภอก็ใช้ข้อมูลไปดูว่า คนเจ็บป่วยในอำเภอ ตายจากโรคอะไรเท่าไหร่ เมื่อมีข้อมูลแล้วไปชวนชาวบ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.มารับรู้ข้อมูล เชิญนายอำเภอมาเป็นประธาน รวมกลุ่มกัน และคิดหาทางแก้ปัญหา แบบ “ไม่ต้องรอใครสั่งการ” จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตามบริบทชุมชน

    สำหรับอนาคตสิ่งที่ สำนัก 7 จะขับเคลื่อนในระยะสั้น มีมุมมองที่น่าจะรุกกลุ่มก่อนป่วย เพราะคนป่วยแล้วจึงจะเห็นความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ แต่อาจจะไม่ทันแล้ว แต่กลุ่มก่อนป่วย ก่อนเป็นเบาหวาน ก่อนเป็นความดันสูง เมื่อพบว่าเริ่มสูงนิดๆ เริ่มมีสัญญาณ กลุ่มนี้ถ้าเกิดบุคลากรทางการแพทย์สามารถคัดกรองเจอและพามาเรียนรู้ปัญหา เพื่อให้ทราบว่าถ้าไม่ทำอะไรอีก 2-3 ปีอาจเป็นเบาหวานต้องต่อคิวรพ. ก็อาจจะมาเข้าคอร์สเรียนรู้การกินอย่างไร พลังงานเท่าไหร่ ลดอย่างไร ออกกำลังกายอย่างไร ให้คุมน้ำหนักได้

    หรือกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง อาจจะยังไม่ป่วย เช่น ดื่มเหล้ามาก สูบบุหรี่มาก แต่ยังมีอาการป่วยหรือเริ่มมีนิดหน่อย ถ้ารู้ว่าอนาคตอาจเป็นมะเร็ง ถุงลมโป่งพอง เจ้าหน้าที่จะไปชวนอย่างไรให้ลดละเลิกได้ เป็นจุดเน้นในระยะต่อไป

    ส่วนระยะยาว อยากเห็นชุมชนเข้มแข็งด้านสุขภาพ เป็นเจ้าของข้อมูล จัดการสุขภาพตนเองได้ ถ้าชุมชนมาร่วมคิดร่วมทำร่วมเป็นเจ้าของได้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะเป็นเพียงคนไปให้ข้อมูล เป็นพี่เลี้ยง ผู้ประสานงานเท่านั้น นี่คือภาพฝันระยะไกลที่อยากเห็น.