สิ่งแวดล้อมของสังคมพิการ จุดประกาย...ขับเคลื่อนกลไกเอื้อชีวิตผู้พิการ

หมวดหมู่ : ทั่วไป, กรุงเทพฯ,

อ่าน : 581
สิ่งแวดล้อมของสังคมพิการ จุดประกาย...ขับเคลื่อนกลไกเอื้อชีวิตผู้พิการ

               “วิธีการส่งเสียงที่ดีที่สุด คือการสร้างความเป็นเพื่อน ระหว่างคนพิการและไม่พิการ ก่อนที่ผมจะมาทำเรื่องคนพิการ ผมไม่เคยสนใจเรื่องคนพิการ แม้ว่าจะเห็นเขามาประท้วงเรียกร้องสิทธิต่างๆ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา แต่วันหนึ่งเรามีเพื่อนเป็นคนพิการสักคน เราจะรู้สึกว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นกับเพื่อนเรา”

    เสียงบอกเล่าที่ทรงพลังของ นายฉัตรชัย อภิบาลพูนผล ประธานมูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคม ผู้ได้รับรางวัล บุคคลขวัญใจประชากรเฉพาะกลุ่ม ในงาน VOV Award” การประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2

    เพราะ“ไม่ถูกเลือก” จึงจุดประกาย

    “ต่อ หรือ ฉัตรชัย” ชายผู้อุทิศตนให้กับผู้พิการ ได้เล่าย้อนกลับไปถึงตอนที่กำลังเรียนอยู่ว่า ตนเป็นเด็กเนิร์ดที่เพื่อนๆ ก็หวังลอกการบ้าน แต่กลับกันคือ ไม่เก่งกีฬา ทำให้ถูกผลักไปอยู่ในลำดับท้ายๆ ที่เพื่อนจะชวนไปเล่นด้วยกัน ทำให้ตนเข้าใจถึงความรู้สึก “การไม่ถูกเลือก” เหตุการณ์นี้สร้างบาดแผลในใจ แต่ก็ทำให้กลับมานึกถึงผู้พิการที่มักจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายของสังคม จนตัดสินใจสมัครเป็นจิตอาสา ที่โรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพมหานคร เมื่อ 15 ปีก่อน

    ตนได้คลุกคลีกับผู้พิการทางสายตาที่ทำให้ เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความบกพร่องทางร่างกาย แต่เป็นเรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอน สำหรับผู้พิการที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ขณะที่การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมากโดยเฉพาะในผู้พิการ จะเกี่ยวข้องกับโอกาสในชีวิตที่จะเกิดขึ้นด้วย จึงเป็นที่มาของการทำอุปกรณ์เพื่อผู้พิการทางสายตาอันแรก คือ “เล่นเส้น” จากความเชื่อแม้จะตามองไม่เห็น แต่ไม่ได้แปลว่าวาดรูปไม่ได้ ออกแบบให้การวาดรูปแบบเป็นเส้นนูน เรียนรู้ผ่านการสัมผัสด้วยมือแทนดวงตา ทำให้เด็กๆ วาดรูป เรียนศิลปะ หรือแม้กระทั่งเรียนคณิตศาสตร์ได้

    สภาพแวดล้อมที่พิการไม่ใช่บุคคล

    “ผมเปลี่ยนมุมมองความคิด จริงๆ แล้วปัญหาความพิการไม่ใช่ปัญหาเชิงบุคคล แต่เป็นปัญญาเชิงสภาพแวดล้อม” นายฉัตรชัย กล่าวพร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า หากเราไปต่างประเทศแล้วพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ ก็ต้องใช้ภาษามือแทนเหมือนผู้พิการทางการได้ยิน หรือถ้าต้องอยู่ในห้องมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นนั่นก็ไม่ต่างจากผู้พิการทางสายตา ดังนั้น ปัญหาความพิการ ไม่ได้แก้ที่ตัวบุคคล แต่ต้องปรับให้สภาพแวดล้อมรอบๆ เอื้ออำนวย เพื่อให้ผู้พิการใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้

    อย่างไรก็ตาม ได้สังเกตพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้พิการทางสายตาคือ “ความอ้วน” เนื่องจากการขยับร่างกายน้อยและขาดการออกกำลังกาย จึงได้ขอรับการสนับสนุนจาก สสส. จัดกิจกรรมวิ่งสร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างผู้พิการและผู้ที่ไม่ได้พิการขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 2559 ภายใต้ชื่อโครงการ “วิ่งด้วยกัน” ให้เราทุกคนเกิดความเป็นเพื่อนกัน มีความเข้าใจกัน ตระหนักถึงผู้พิการมากขึ้น

    ภูมิใจที่ได้ลงมือทำเพื่อสังคม

    จนกระทั่ง 3 ปีก่อน “มูลนิธิด้วยกัน” ได้เกิดขึ้นมาภายใต้แนวคิดสร้างความเป็นเพื่อนกับผู้พิการที่เราสามารถทำกิจกรรมด้วยกันได้ ที่มีสมาชิกมากกว่า 2,000 คนในปัจจุบัน นายฉัตรชัย ย้อนความถึงวิธีการส่งเสียงจากผู้พิการเพื่อให้สังคมได้ยิน ว่า หากเรามองว่านั่นเป็นเสียงที่เกิดจากเพื่อนของเรา ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเรา ว่าทำไมเราถึงไปดูหนังกับเพื่อนที่พิการทางสายตาไม่ได้ ทำไมเราจะไปร้านอาหารกับเพื่อนที่พิการด้านการเคลื่อนไหวไม่ได้ เหล่านี้จะทำให้เราลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อเพื่อนของเรา

    การสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาของผู้พิการ คือ การเป็นเพื่อน สิ่งนี้จะทำให้คนในสังคมนึกถึงผู้พิการเป็นลำดับแรกๆ อย่างแอพพลิเคชั่น “พรรณนา” ที่ตนออกแบบมาเพื่อให้ผู้พิการสามารถดูหนังได้โดยไม่ต้องเหมาโรงหนัง สามารถเข้าไปนั่งดูในแถวหน้าสุดได้โดยที่มีคนตาปกตินั่งอยู่ร่วมกัน

    “สิ่งเหล่านี้ทำให้ ตัวเองภูมิใจที่ได้ลงมือทำอะไรเพื่อผู้พิการและเปลี่ยนให้สังคมสามารถอยู่ร่วมกับผู้พิการได้ อย่างโครงการวิ่งด้วยกัน ก็เป็นแนวคิดที่หลาย ๆ องค์กรนำไปปรับใช้ รวมถึงในต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะบัลแกเรีย ประเทศในยุโรปและแอฟริกา” ฉัตรชัย กล่าว 

    สสส.ช่วยขับเคลื่อนงานได้เร็ว-รูปธรรม

    นายฉัตรชัย อธิบายถึงมุมมองของสังคมต่อประชากรกลุ่มเฉพาะที่ยังถูกมองเป็น “ภาระสังคม” ว่า ที่เป็นภาระเพราะสังคมไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ได้ออกแบบสังคมมาให้รองรับกับประชากรกลุ่มเฉพาะนี้ ทว่าการแก้ไขปัญหาคงไม่ใช่การไปเลี้ยงให้เขาอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ต้องเป็นการแก้ให้สังคมอยู่ร่วมกับเขาได้โดยที่ไม่เป็นภาระ

    “เสียงที่สังคมได้ยินจากผู้พิการ จริงๆ ทุกคนก็ร่วมกันแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ เพียงคุณนึกว่าหากจะทำอะไรซักอย่าง ผู้พิการสามารถเข้าถึงได้หรือไม่ รวมถึงคำนึงว่าถ้าคุณมีบริษัท ผู้พิการทำงานร่วมกับคุณได้หรือไม่ ทำเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปบริจาคเงิน เลี้ยงอาหารกลางวัน” นายฉัตรชัย กล่าว

    ที่สำคัญการได้ทำงานร่วมกับ สสส. ซึ่งเป็นหน่วยงานใหญ่ๆ ที่ดูแลเรื่องสุขภาพของสังคมอย่าง ทำให้แนวคิดของตนถูกขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและเห็นเป็นรูปธรรม โดยตั้งแต่วิ่งด้วยกันครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับ สสส. ก็เป็นต้นแบบที่ทำให้งานวิ่งอื่นในประเทศ หันมาสนใจผู้พิการ และยังทำให้ผู้จัดกิจกรรมอื่นๆ ได้ออกแบบให้ทำด้วยกันได้

    ท้ายที่สุด “ฉัตรชัย” ย้ำว่า มูลนิธิด้วยกัน มีเป้าหมายตั้งขึ้นมาเพื่อ “ปิด” เพราะตนต้องการให้สังคมสามารถขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับผู้พิการได้โดยไม่ต้องผ่านคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนได้.